วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อื่น ๆ

อยากทำงานสบาย ๆ

สูตรดูแลผิวหน้าแบบง่าย ๆ 

1.สูตรหน้าใส เปล่งปลั่ง ชุ่มชื่น


นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียดและนำมาพอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที ทั้งนี้เพราะในมะละกอจะมีสารช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า หากหน้ามันมากควรทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ นอกจากนี้ยังอาจใช้หัวไชเท้า หรือแตงกวามาช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื่นให้ใบหน้าได้อีกด้วย โดยการปอกเปลือก สไลด์บางๆ แช่เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาแปะไว้ที่ใบหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาก็ได้จะทำให้หน้าสวยใสได้เช่นกัน

2.สูตรกระชับรูขุมขน


นำน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับแตงกวา 2 ช้อน ปั่นให้ละเอียด นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด ผิวของคุณก็จะนุ่มชุ่มชื่นขึ้นทันตาเห็นทีเดียว หรืออีกวิธีหนึ่ง คือใช้แอปเปิ้ล 1ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เติมนมพร่องไขมัน 1ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากัน นำมานวดเบาๆ บนใบหน้า พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ทั้งสองวิธีนี้จะช่วยสมานผิวและรูขมขนให้ตึงกระชับสวยขึ้น


3.สูตรลดปัญหาสิว


ใช้ดินสอพอง 1 เม็ดใหญ่ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วนำมาแต้มบริเวณสิวหัวใหญ่ก่อนนอน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆในตอนเช้าให้หมดจด จะสังเกตได้ว่าหัวสิวยุบลงมาก และผิวพรรณบนใบหน้าคุณก็ขาว และกระจ่างใส ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว

4.สูตรลบจุดด่างดำ


นำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว จึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ทั่วใบหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปาก ทิ้งไว้สักครู่ (ประมาณ 20 นาที) แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้เป็นประจำผิวพรรณของคุณก็เปล่งปลั่งขึ้น ริ้วรอยด่าวดำก็จะค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด

 


 

สิ่งที่มุ่งหวัง

อนาคตอยากทำงานที่มีเงินเดือนเยอะ ๆ จะได้มีเงินเลี้ยงพ่อกับแม่ให้ท่านสุขสบายไม่ลำบาก

10 เคล็ด(ไม่)ลับ ต่อไปนี้ อาจจะช่วยทำปณิธานของคุณในปีใหม่ให้เป็นจริงได้ เพราะที่จริงมันไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด


1. ตั้งเป้าหมายง่ายๆ

บางครั้งคนเราชอบตั้งเป้าที่จะเปลี่ยน แปลงชีวิตทั้งหมดในคราวเดียวกัน ขอบอกว่า นี่คือประตูไปสู่ความผิดหวัง และจะรู้สึกผิดเมื่อทำไม่สำเร็จ ในช่วงเริ่มต้นศักราชใหม่เช่นนี้ เป็นธรรมดาที่คุณอยากทำอะไรดีๆให้กับตัวเอง แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาของคนส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า มีน้อยคนนักที่จะสามารถทำทุกเรื่องให้สำเร็จพร้อมๆกัน

เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ โฟกัสเฉพาะเป้าหมายสำคัญที่สุดเพียง 1-2 เรื่องเท่านั้น


2. เลือกเป้าหมายสำคัญ

แล้วจะเลือกเรื่องไหนดีล่ะ คำตอบ คือ คุณอาจเลือกเรื่องที่มีผลกระทบสูงต่อความสุข สุขภาพ และความพึงพอใจของคุณเป็นลำดับแรก ตัวอย่างเช่น ตั้งใจเลิกสูบบุหรี่ เพราะเมื่อคุณเลิกได้สำเร็จ นอกจากสุขภาพจะดีขึ้นแล้ว ยังรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองทำได้ และนั่นจะทำให้คุณมีความสุข (อาจจะไม่ทันทีก็ตาม) รวมทั้งคนในครอบครัวด้วย


3. ต้องทำได้จริง

อย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไปจนลืมความเป็นจริง หันไปมองปณิธานในปี ก่อนๆ ว่าอะไรทำให้ล้มเหลว เช่น ตั้งเป้าลดน้ำหนักมากไป หรือตั้งใจเก็บเงินก้อนโตเกินกำลังหรือเปล่า

จำไว้ว่า คุณมีโอกาสขยับเป้าหมายขึ้นได้เสมอ ดังนั้น ต้องตั้งเป้าที่ทำได้จริงๆ หรือถ้าไม่อยากหยุดชะงักกลางคัน จงตั้งเป้าหมายระยะสั้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายใหญ่ ซึ่งจะนำไปสู่วิธีในข้อ 4


4. แตกเป็นเป้าหมายเล็กๆ

แตกเป้าหมายใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ที่ทำได้ง่าย วิธีนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ยิ่งวางแผนในตอนนี้ได้มากเท่าไหร่ โอกาสทำสำเร็จยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะระหว่างทาง ต้องเจออุปสรรคอย่างแน่นอน

จงตั้งเป้าหมายเล็กๆที่ทำได้จริง เช่น ลดน้ำหนัก 2 กก.ภายใน 1 เดือน เก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท หรือเดินออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้ง เป็นต้น


5. ขีดเส้นตาย
       การขีดเส้นตายเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัววัดความสำเร็จของเป้าหมายระยะสั้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายใหญ่ วิธีการคือจดแผนงานที่ต้องทำในรายอาทิตย์หรือรายเดือน ลงในปฏิทินหรือไดอารี่ และกำหนดช่วงเวลาที่จะประเมินผลด้วย

6. จดบันทึก

เมื่อบันทึกแผนงานและกรอบเวลาแล้ว เท่ากับคุณมีเครื่องเตือนใจ  ก้าวต่อไปคือ เขียนรายละเอียดของเรื่องที่จะทำลงไปด้วย และอย่าลืมใส่แรงจูงใจที่ต้องการทำให้สำเร็จ เช่น อาจติดรูปสมัยที่ยังสเลนเดอร์ เพื่อจูงใจให้อยากลดน้ำหนัก หรือรูปสิ่งของที่อยากได้ เช่น คอมพิวเตอร์ บ้าน ฯลฯ

เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้คุณต้องรีบเก็บเงิน และถ้าสิ่งที่ตั้งใจทำ เช่น เลิกสูบบุหรี่ เลิกกินเหล้า จะก่อให้เกิดผลดีกับคู่ชีวิต ลูกๆ รวมทั้งเพื่อนฝูงของคุณแล้วละก็ อย่ารีรอที่จะติดรูปพวกเขาลงไป เพื่อเป็นตัวกระตุ้นที่ต้องทำให้สำเร็จอีกทางหนึ่ง


7. ให้รางวัลตัวเอง

ในแผนงานที่วางไว้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ รางวัลที่จะให้ตัวเองเมื่อทำสำเร็จ แต่ต้องระวังไม่ตกลงไปในกับดักที่จะทำ ให้เป้าหมายพัง เช่น เมื่อเห็นน้ำหนักลดลง อาจจะบอกกับตัวเองว่า “น้ำหนักฉันเริ่มลดลงบ้างแล้ว ขอกินขนมเค้กเป็นรางวัลหน่อย” หรือเก็บเงินมาได้สักระยะ ก็หันไปใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอีก พวกนี้เป็นกับดักทั้งนั้น

โปรดจำไว้ว่า..แค่เพียงพลาดไปนิดเดียว คุณอาจต้องกลับมานับหนึ่งซ้ำใหม่


8. หาคนสนับสนุน

เวลาเจออุปสรรคระหว่างไปสู่เป้าหมาย คุณจะพบว่าคนที่คอยสนับสนุนให้กำลังใจนั้น สำคัญอย่างยิ่ง จงเลือกคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ เช่น ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนที่คอยสนับสนุนให้กำลังใจ เพื่อคุณจะได้บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณต้องการทำ และมีอะไรบ้างที่เขาเหล่านั้นสามารถช่วยได้ในยามคับขัน และถ้าทุกคนแคร์ความรู้สึกของคุณ พวกเขาจะรู้ว่าควรพูดอะไรในยามที่คุณประสบปัญหา


9. อย่ายอมแพ้

ท่องไว้ในใจเสมอว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และอย่าปล่อยให้มันเป็นข้ออ้างที่จะเลิกล้มการไปสู่เป้าหมาย เมื่อมันเกิดขึ้น คุณต้องดึงพลังและความเชื่อมั่นที่ว่าคุณทำได้ ซึ่งมีอยู่ในตัวออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ควรฝึกสร้างพลังด้านบวกเช่นนี้ให้มากๆ เช่น รู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ทำสำเร็จในอดีต และอย่าคอยจับผิดตัวเอง เพราะคนที่นับถือตัวเองและมั่นใจในตัวเอง มักประสบความสำเร็จมากกว่า ฉะนั้น เมื่อพลาดไปแล้ว ต้องให้อภัยตัวเองทันที และบอกตัวเองว่า ‘อย่ายอมแพ้ ฉันจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง’


10. คุณคือผู้กำหนด

ความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ "ตัวคุณ" เป็นผู้กำหนด คนอื่นให้ได้แค่คำแนะนำและการสนับสนุน แต่คุณต้อง"ลงมือทำเอง" จึงจะสัมฤทธิ์ผลดังที่ต้องการ

ประวัติการทำงาน

หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็เข้ามาทำงานที่บริษัทฟูจิเอซ จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ และบริษัทได้ขยายสาขามาที่จังหวัดสมุทรสาครก็ได้ย้ายมาด้วยและทำงานอยู่จนถึงปัจจุบัน

ผลสำรวจความรู้สึก ของคนวัยทำงานในแต่ละวัน

 วันจันทร์ เป็นวันที่ควรจะผ่อนคลายความเครียด ควรที่จะหาเวลาพักผ่อน จากการสำรวจของ British Medical Journal ระบุว่า 20% ของผู้ป่วยหัวใจวายมักจะมีอาการในวันจันทร์ เนื่องจากความเครียดที่เป็นวันเริ่มต้นทำงาน และเพิ่งจะสร่างเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในสุดสัปดาห์ และคนจะเครียดมากที่สุดช่วง 8 โมงเช้าถึง 10 โมง

   วันอังคาร เป็นวันที่สมองเริ่มจะปรับความเคยชินกับอะไรหนัก ๆ แล้ว ก็จะรู้สึกว่าสามารถจัดระบบความคิดตัวเองได้ดี ถือเป็นวันที่อารมณ์ดี เพราะสมองได้ปรับเพื่อรับมือกับวันต่อ ๆ ไป

   วันพุธ เป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับการมองหาใครสักคน เพื่อนัดเดทแรก ก่อนที่จะนัดเดทครั้งต่อไปในวันศุกร์ ซึ่งจากการสำรวจพบว่า 40% ของคู่รักมักจะนัดเดทกันเป็นครั้งแรกในวันพุธ

   วันพฤหัสบดี เป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ เพราะฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรนของผู้ชาย และเอสโตรเจนของผู้หญิงจะเพิ่มสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า จึงเป็นวันที่ดีสำหรับการปลุกนาฬิกาปลุก เพื่อทำการบ้านในเช้าวันนี้

   วันศุกร์ เป็นวันที่ดีสำหรับการเลิกบุหรี่ เพราะวันนี้ใกล้จะสุดสัปดาห์แล้ว คนเราจะมีพลังในการทำอะไรได้อย่างเต็มที่ และสำเร็จได้ง่าย เป็นวันที่ควรตัดสินใจทำอะไรที่ดีเพื่อตัวเองสักอย่าง

   วันเสาร์ เป็นวันที่ดีสำหรับการพักผ่อน จากการสำรวจพบว่ากว่า 70% ของคนทำงานมักจะใช้วันเสาร์เป็นวันพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวไปดื่มกับเพื่อน ๆ ในตอนกลางคืน และนอกจากนี้ วันเสาร์ยังเป็นวันที่เหมาะสำหรับการมีลูกอีกวันด้วย เพราะอารมณ์มักจะดี และมันส่งผลต่อความรู้สึกทางเพศเวลาอยู่ใกล้คู่รักมากกว่าวันอื่น

   วันอาทิตย์ เป็นวันที่เหมาะสำหรับการทานอาหารนอกบ้าน และเป็นวันที่ดีสำหรับส่งอีเมลไปชวนเพื่อน ๆ ออกไปข้างนอก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเปิดอ่านอีเมลในวันอาทิตย์มากที่สุด เนื่องจากเป็นเพราะมีเวลาว่างหลังจากพักผ่อนวันเสาร์ไปแล้ว

ประวัติการศึกษา

เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านแวง
เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6 จากโรงเรียนแวงพิทยาคม

วัยเรียน  (อายุ  ๖-๑๒ ปี) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เรียกว่า ระยะลาเทนซี (latency period) เด็กจะมุ่งไปทางการเรียนและออกกำลังกาย  เริ่มพึ่งพาบิดามารดาน้อยลง มักสนใจเข้าพวกเข้าหมู่ ชอบคบเพื่อนเพศเดียวกัน  การเข้าหมู่คณะทำให้เขาได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ของสังคม สิทธิของบุคคล ความยุติธรรมและความรู้สึกรับผิดชอบ การเล่นกลางแจ้งมีความสำคัญเพราะจะช่วยทั้งสุขภาพทางกาย  ทักษะ  และให้เขาได้มีทางออกของอารมณ์ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด นอกจากนี้  เขาจะได้ฝึกความอดทน การรักหมู่คณะการรู้จักแพ้ชนะ และเขาเริ่มมีเพื่อนสนิทเพศเดียวกัน
          ปัจจุบัน  เด็กได้รับอิทธิพลจากโทรทัศน์  วิทยุหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสียต่อเด็ก  ผู้ใหญควรตัดสินว่าสิ่งใดควรไม่ควร และกำหนดขอบเขตให้เขา  งานวิจัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาแสดงผลว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อเด็ก ทั้งในทางดีและไม่ดีโดยเฉพาะในทางก้าวร้าวมักให้ผลลบมากกว่า
          อีริคสันเรียกวัยนี้ว่า  "ระยะอุตสาหะ   หรือระยะทำให้สำเร็จ"  (Stage  of Industry) ถ้าเด็กทำอะไรสำเร็จในระยะนี้ เขาควรได้รับการสนับสนุนให้กำลังใจ  ซึ่งจะมีผลต่ออนาคตของเขาอย่างมาก  ผู้ที่ผ่านระยะนี้ไปได้ด้วยดี จะไม่มีความรู้สึกว่าตนมีปมด้อย หรือบกพร่อง
         เมื่อเด็กทำสำเร็จ เขาควรได้รับคำชมเชย  แต่ผู้ใหญ่ส่วนมากเข้าใจผิด  กลัวเด็กเหลิง แท้จริง การชมเชย เมื่อเขาทำดีกลับเป็นการให้กำลังใจ  และทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิริยะอุตสาหะ  การชมเชยที่ถูกต้องคือการชมเชย  "การกระทำ" มิใช่ชม "ตัวเด็ก" ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาช่วยถูเรือน  ควรบอกเขาว่า "เขาทำให้พื้นสะอาดน่านั่งเล่น นอนเล่น" หรือเมื่อเขาแต่งโคลง  แทนที่จะชมว่าเขาเก่งเหลือเกินควรบอกเขาในทำนองว่า  โคลงบทนี้ไพเราะมาก

หน้าแรก ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ เกียรติศักดิ์  ทวีพร
ชื่อเล่น ฟ้า
อายุ 26 ปี เกิดวันที่ 21 กันยายน 2527

เป็นคนอำเภอสว่างแดนดิน
จังหวัดสกลนคร
บทความที่ชอบตอนเป็นเด็ก



“…ขอพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม
ในวันนึงเท่าไร ก็ไม่เปลี่ยนไปได้หรือเปล่า
ให้ความสดใส ยังอยู่กับเรา อย่าให้ใครเขามาแย่งไป
แค่เพียงอยาก ขอพื้นที่เล็กๆนี้ยังเป็นเด็กไปนานๆ
ให้เรายังได้ฝัน ให้เรายังยิ้มได้
โลกแห่งความจริง มันจะดีหรือร้าย
เก็บความเป็นเด็กในหัวใจ เอาไว้…”